บทความฟุตบอล
จะมีอีกไหม ? ย้อนดูดราม่าตัดสินแชมป์ บุนเดสลีกา นัดปิดซีซั่น
กลายเป็นว่าศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน ประจำฤดูกาล 2022-23 ต้องมาตัดสินแชมป์กันถึงนัดสุดท้าย โดยสถานการณ์ในตอนนี้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นำเป็นจ่าฝูงด้วยผลงาน 70 แต้มจากการลงเล่น 33 นัด มากกว่า บาเยิร์น มิวนิค ที่เป็นรองจ่าฝูง 2 แต้ม
ในนัดสุดท้าย ดอร์ทมุนด์ จะได้เฝ้าบ้านเจอกับ ไมน์ซ 05 ส่วน บาเยิร์น ต้องไปเยือน เอฟเซ โคโลญจน์ ซึ่งสถานการณ์มันออกได้ทุกหน้าจนเรียกได้ว่าอาจจะมีดราม่าเกิดขึ้นในเกมสั่งลาซีซั่นนี้ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในอดีตนั้นศึก บุนเดสลีกา ก็เคยมีดราม่าเกี่ยวกับการตัดสินแชมป์ในนัดปิดซีซั่นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งจนทำให้มันถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน และวันนี้เราจะมายกตัวอย่างบรรยากาศแบบนั้นกัน
– สรุปเปลี่ยนทำไม?มัทเธอุสชี้ทูเคิ่ลทำทีมแย่กว่านาเกิลส์มันน์
– คุมสติกันให้ได้!แทร์ซิชเร้านักเตะเล่นตามเดิมในเกมตัดสินแชมป์
– บาเยิร์น อ้วกแน่!แฉ โคโลญจน์ รวยอื้อหาก ดอร์ทมุนด์ ซิวแชมป์บุนเดสฯ
– ฤดูกาล 1977/78
ADVERTISEMENT
ซีซั่นนั้น โคโลญจน์ กับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันอย่างสูสีจนทำให้พวกเขามี 46 คะแนนเท่ากันในตอนที่ก่อนจะลงเล่นนัดสุดท้าย เพียงแต่ตอนนั้น “แพะบ้า” ได้เปรียบอีกฝ่ายเพราะมีผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอยู่หลายลูก
ในนัดสุดท้าย กลัดบัค พยายามอย่างสุดชีวิตจนสามารถไล่ถล่ม ดอร์ทมุนด์ ได้ถึง 12-0 น่าเศร้าที่ต่อให้ยิงเยอะขนาดนั้นพวกเขาก็ยังชวดแชมป์เพราะอีกสนามหนึ่ง โคโลญจน์ พิชิต ซังต์ เพาลี ซึ่งเป็นทีมในอันดับสุดท้ายของตารางคะแนนไป 5-0 ทำให้ โคโลญจน์ ได้แชมป์ไปครองจากการมีผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่า กลัดบัค 3 ลูก
ADVERTISEMENT
– ฤดูกาล 1985/86
แวร์เดอร์ เบรเมน มีโอกาสทองสุดๆ ที่จะได้แชมป์ลีกในตอนนั้น โดยถึงแม้ในนัดรองสุดท้ายพวกเขาจะทำได้เพียงเสมอกับ บาเยิร์น มิวนิค 0-0 จากการที่ มิชาเอล คุตซ็อป ยิงลูกจุดโทษไม่เข้า แต่ในนัดสุดท้ายกับ สตุ๊ตการ์ท นั้น เบรเมน ต้องการแค่ผลเสมอก็เพียงพอต่อการได้แชมป์แล้ว เพราะตอนนั้นพวกเขามีคะแนนมากกว่า “เสือใต้” 2 แต้ม
ถึงกระนั้้น ดราม่าก็บังเกิดเมื่อ เบรเมน แพ้ให้กับ สตุ๊ตการ์ท 1-2 ในทางตรงกันข้าม บาเยิร์น ไล่ต้อน กลัดบัค ไปถึง 6-0 ทำให้จบฤดูกาลทั้งคู่มี 49 คะแนนเท่ากัน แต่เป็น บาเยิร์น ที่ได้แชมป์ไปนอนกอดเพราะมีผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอีกฝ่าย 9 ลูก
– ฤดูกาล 1991/92
หลังจากเตะกันไป 33 นัดนั้น มันมีถึง 3 ทีมที่มี 50 คะแนนเท่ากัน ประกอบไปด้วย สตุ๊ตการ์ท, ดอร์ทมุนด์ และ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต โดยตอนนั้น แฟร้งค์เฟิร์ต ได้เปรียบกว่าชาวบ้านในด้านผลต่างประตูได้เสียจนทำให้ได้เป็นจ่าฝูง
ในนัดสุดท้ายนั้นทั้ง 3 ทีมต้องไปเล่นนอกบ้านทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แฟร้งค์เฟิร์ต กลับแพ้ ฮันซ่า รอสต็อค ทีมในโซนท้ายตาราง 1-2 ส่วนฝั่ง ดอร์ทมุนด์ บุกไปชนะ ดุ๊ยส์บวร์ก 1-0 แต่ชัยชนะของพวกเขาก็ไร้ค่าเพราะ สตุ๊ตการ์ท บุกไปเฉือนชนะ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยสกอร์ 2-1 ได้ ทำให้ทั้ง 2 ทีมมี 52 คะแนนเท่ากัน แต่ สตุ๊ตการ์ท ได้แชมป์เพราะมีผลต่างประตูได้-เสีย +30 ลูก ส่วนของ ดอร์ทมุนด์ อยู่ที่เพียง +19 ประตู
ที่จริงตอนนั้นแฟนบอล ดอร์ทมุนด์ มองถึงการเป็นแชมป์แล้ว เพราะพวกเขาขึ้นนำได้ตั้งแต่ต้นเกม ส่วน สตุ๊ตการ์ท ถูก เลเวอร์คูเซ่น ยันเสมอเอาไว้นานพอตัว ก่อนที่ทัพ “ม้าขาว” จะมาได้ประตูชัยในนาทีที่ 86
– ฤดูกาล 1999/00
ก่อนลงเล่นนัดสุดท้าย เลเวอร์คูเซ่น มีแต้มมากกว่า บาเยิร์น มิวนิค 3 คะแนน โดยวันปิดซีซั่นพวกเขาไปเยือน อุนเตอร์ฮัคกิ้ง ทีมในกลุ่มกลางตารางคะแนน และตอนนั้นหลายคนก็เชื่อว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรสำหรับทัพ “ห้างขายยา” เมื่อพิจารณาถึงการที่พวกเขาไม่แพ้ใครในลีกมา 14 เกมติดต่อกัน แถมในจำนวนนั้นยังเป็นการชนะได้ถึง 11 หนอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาก็มาเล่นตลกกับ เลเวอร์คูเซ่น เพราะพวกเขาแพ้ อุนเตอร์ฮัคกิ้ง 0-2 โดยหนึ่งในนั้นมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของ มิชาเอล บัลลัค อีกต่างหาก ขณะที่อีกสนาม บาเยิร์น เปิดบ้านชนะ เบรเมน 3-1 ทำให้จบฤดูกาลทั้ง 2 ทีมมี 73 คะแนนเท่ากัน แต่ว่า บาเยิร์น ได้แชมป์เพราะมีผลต่างประตูได้-เสีย +45 ลูก ส่วน เลเวอร์คูเซ่น มีตัวเลขด้านนั้นอยู่ที่ +38 ประตู
– ฤดูกาล 2000/01
บาเยิร์น กับ ชาลเก้ 04 เบียดลุ้นแชมป์กันอย่างสนุกจนต้องมาตัดสินกันถึงนัดสุดท้ายของซีซั่น โดยตอนนั้น บาเยิร์น มีคะแนนมากกว่า 3 แต้ม แต่พวกเขาเป็นรองด้านผลต่างประตูได้-เสีย ทำให้ถ้าหาก บาเยิร์น แพ้ ฮัมบูร์ก แล้ว ชาลเก้ เอาชนะ อุนเตอร์ฮัคกิ้ง ได้แล้วล่ะก็ แชมป์จะตกไปอยู่กับ “ราชันสีน้ำเงิน” ทันที
ชาลเก้ ทำงานของตัวเองได้เสร็จสิ้นเพราะพวกเขาเอาชนะไปได้ 5-3 และตอนนั้นแฟนบอลหลายคนของ ชาลเก้ ก็มีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะได้แชมป์แล้ว เพราะอีกสนาม บาเยิร์น ตามหลัง ฮัมบูร์ก 0-1 ในช่วงท้ายเกม โดยกองเชียร์บางคนของ ชาลเก้ ถึงขั้นวิ่งลงมาฉลองในสนามแล้วแม้ว่าเกมของ บาเยิร์น จะยังไม่จบก็ตาม
สุดท้ายก็เป็น บาเยิร์น ที่เข้าข่ายสุภาษิต “หัวเราะทีหลังดังกว่า” เพราะว่า มาธิอัส โชเบอร์ ผู้รักษาประตู ฮัมบูร์ก ทำพลาดจนส่งผลให้ทีมเสียลูกฟรีคิกในกรอบเขตโทษ และ พาทริค อันเดอร์สสัน เซนเตอร์แบ็กชาวสวีดิชของ บาเยิร์น ก็ยิงเข้าไป
ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ฤดูกาลที่ อันเดอร์สัน อยู่กับ บาเยิร์น นั้น นั่นเป็นประตูเดียวที่เขาทำได้ แต่มันก็เป็นลูกที่มีค่ามากๆ เพราะมันทำให้จบเกม บาเยิร์น เสมอกับ ฮัมบูร์ก 1-1 ส่งผลให้ซีซั้นนั้น บาเยิร์น ได้แชมป์ด้วยผลงาน 63 คะแนน เฉือนชนะ ชาลเก้ ไปเพียงแต้มเดียว
– ฤดูกาล 1983/84
ตอนจบเกมลีกนัดที่ 33 ของฤดูกาลที่ว่า สตุ๊ตการ์ท นำเป็นจ่าฝูงด้วยการเก็บได้ 48 คะแนน มากกว่า ฮัมบูร์ก กับ กลัดบัค ทีมละ 2 แต้ม แถมทาง สตุ๊ตการ์ท ยังมีผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอีก 2 ทีมเยอะพอตัวด้วย
ในนัดสุดท้ายนั้น สตุ๊ตการ์ท มีคิวบุกไปเยือน ฮัมบูร์ก พอดี ส่วน กลัดบัค เจอกับ อาร์มิเนีย บีเลเฟลด์ ซึ่งทาง ฮัมบูร์ก สามารถเอาชนะ สตุ๊ตการ์ท ไปได้ 1-0 ขณะที่ กลัดบัค พิชิต บีเลเฟลด์ ไปได้แบบไม่ยากเย็นด้วยสกอร์ 3-0
ผลการแข่งขันที่ออกมาแบบนั้นทำให้ทั้ง 3 ทีมต่างก็มี 48 คะแนนเท่ากัน แต่แชมป์ไปอยู่ในมือของ สตุ๊ตการ์ท เพราะพวกเขามีผลต่างประตูได้-เสีย +46 ลูก ส่วนของ ฮัมบูร์ก กับ กลัดบัค อยู่ที่ทีมละ +39 ลูกกับ +33 ประตู ตามลำดับ
UDM88 สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢ https://ufadiamond.ibetauto.com/ufadiamond/ufabet/register
สอบถามเพิ่มเติม 🆔 𝙇𝙄𝙉𝙀 : https://line.me/R/ti/p/@078kxfrn